วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน



พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบวันอภิเษกสมรสครบ 95 ปีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการยกย่องพระเกียรติในเรื่องของ "สังคมผัวเดียวเมียเดียว" ในแบบสังคมตะวันตก จนส่งผลให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างของกุลสตรีไทย ที่ทรงดำรงพระองค์ด้วยพระราชหฤทัยมั่นคง ผูกพันจงรักภักดีในพระราชสวามีสืบมาตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากรัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2484 

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี 


 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เชื้อเชิญสองสาวเวิร์กกิ้งวูแมนอย่างน.ส.วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราช และ บก.บห.นิตยสารลิซ่าอย่าง น.ส.พิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี มาร่วมบรรยายเสวนาความรู้ถึงวัฒนาการและบทบาทของผู้หญิงจากอดีตสู่ปัจจุบัน ตลอดจนเผยแพร่พิพิธภัณฑ์ฯ ให้เป็นที่รู้จัก แก่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ที่มาร่วมรับฟังช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักศึกษาเอกสังคมศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

เริ่มจาก น.ส.วิกัลย์ ที่สะท้อนบทบาทโดดเด่นของผู้หญิงในช่วงหลังเสียกรุงจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 (2310-2488) โดยเฉพาะรัชสมัย ร.6-ร.7 อย่างการได้รับการศึกษาและความรู้ด้านการพยาบาล ที่สื่อว่าบทบาทของผู้หญิงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่งานครัวเท่านั้น "ปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เริ่มมีการทำการค้ากับชาวตะวันตก เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผู้หญิงไทยต้องเปลี่ยนหน้าที่มาทำการค้าขายมากกว่าการทำงานบ้าน อย่างการปักผ้าทอผ้า เรื่อยมาจนถึงรัชกาล 4 ส่วนรัชกาลที่ 5 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของหญิงไทยครั้งสำคัญ เพราะไม่เพียงแค่ประเทศสยามจะรับวัฒนธรรมการแต่งกายจากตะวันตก แต่ผู้หญิงไทยเริ่มได้รับการศึกษามากขึ้น เช่น มีการตั้ง รร.กุลสตรีวังหลัง ซึ่ง รร.สำหรับผู้หญิงที่เด่นชัดที่สุดนั้น คือ รร.หญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้ ที่ก่อตั้งโดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง(พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี)  จวบจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 6 ที่เริ่มตระหนักสิทธิของผู้หญิงมากขึ้น โดยกฎมณเฑียรบาลระบุว่า การแต่งงานระหว่างชายหญิงนั้นจะต้องมีการจดทะเบียนสมรสและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณพระบรมราชินี  ถือเป็นคู่อภิเษกคู่แรกที่ทรงจดทะเบียนสมรสรวมถึงการตั้งสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม สภากาชาดไทย ที่เน้นให้ผู้หญิงมีบทบาทในการทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นเช่นกัน"

ส่วนพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี ผู้คร่ำหวอดในแวดวงนิตยสารมากว่า 30 ปี ได้สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงผ่านรูปแบบของแมกกาซีน เพื่อให้เห็นภาพหญิงไทยที่เป็นตัวของตัวเองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันว่า จากประสบการณ์ด้านสื่อมวลชนมากว่า 30 ปีนั้น มองว่านิตยสารเป็นอะไรที่สื่อบทบาทของผู้หญิงไทยได้เห็นชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์สำหรับผู้หญิงที่บูมสุดๆ ในช่วงรัชกาลที่ 6-7 ที่รู้จักกันดีว่า "หญิงไทย" ซึ่งไม่เพียงรวบรวมไว้ซึ่งคอลัมน์สำหรับผู้หญิง แต่เนื้อหาภายในยังสะท้อนถึงความขัดแย้งถกเถียงถึงสถานภาพของผู้หญิงเช่นกัน จึงตอบโจทย์ผู้หญิงได้ดี ซึ่งทำให้ตระหนักว่าผู้หญิงเริ่มตื่นตัวและหันมาสนใจในสิทธิของตัวเอง มากกว่าที่จะสนใจเพียงเนื้อหาทั่วๆ ไปของนิตยสารที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสืออ่านเล่นในบ้านเราอย่าง "นารีรมย์" และ "กุลสตรี"ขณะที่ "คอลัมน์ตอบปัญหารักอย่าง "ศิราณี" ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและขวัญเรือน ในช่วงปี พ.ศ. 2500-2516 นั้น ก็เป็นกระจกสะท้อนสำคัญว่า ผู้หญิงไทยเข้มแข็งและกล้าที่จะออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้น จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงจะพบกับปัญหาหัวใจ ความรัก ชีวิตคู่ หรือแม้แต่ปัญหาการเลี้ยงลูกบุตร จนต้องพึ่งพาคอลัมน์ตอบปัญหาในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเฟื่องฟูนั่นเอง



แหล่งที่มา:  หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์.หญิงไทยยุคเปลี่ยนผ่าน(ออนไลน์)
 เข้าถึงได้จาก http://www.ryt9.com/s/tpd/1723951 วันที่สืบค้น : 1 กันยายน 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น